การครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า หรือน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าที่ผลิตและนำเข้าจากต่างประเทศ ผู้ครอบครองแม้มีไว้ในครอบครองเพื่อสูบเองก็ย่อมมีความผิด จะไปอ้างว่าไม่รู้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้า ก็อ้างไม่ได้ ส่วนการจะอ้างว่าไม่รุ้ว่าสินค้าของตนเองนั้น เป็นสินค้าที่นำเข้ามาจาก ต่างประเทศก็อ้างยากมาก

เนื่องจากในช่วงนี้ผู้เขียนเห็นทนายความบางคนให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชนในทำนองว่า มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ใช้เองไม่ผิด ถ้าตำรวจจับให้ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี โดยอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นสินค้าผิดกฎหมายและให้ฟ้องตำรวจกลับ ซึ่งมีประชาชนเข้าไปดูจำนวนมาก และอาจจะทำให้ประชาชนเข้าใจข้อกฎหมายแบบผิดๆ จนอาจทำให้ตนเองถูกจับกุมเดือดร้อนเสียหายได้ ดังนั้น ผู้เขียน ในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพทนายความด้วยกัน จึงขอสรุปข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าที่ถูกต้อง ดังนี้


มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครองเพื่อใช้งานเองไม่ผิดจริงหรือไม่ ?

เดิมทีบุหรี่ไฟฟ้าในช่วงแรก ผู้ครอบครองเพื่อใช้งาน ไม่มีความผิดตามกฎหมายแต่อย่างใด เพราะไม่มีกฎหมายกำหนดความผิดไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายอาญาที่ว่า ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ เมื่อไม่มีกฎหมายกำหนด ในช่วงแรกที่เริ่มมีการมาใช้ เมื่อเกือบสิบกว่าปีก่อนนั้น จึงยังไม่มีกฎหมายอาญากำหนดห้าม ว่าการใช้หรือสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นความผิด จึงยังมีช่องว่างทางกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้าไม่เป็นความผิดอยู่

ต่อมาเกิดกระแสสังคม ในทำนองว่าบุหรี่ไฟฟ้าอาจจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้สูบได้ ซึ่งแทนที่รัฐจะตรากฎหมายออกมาให้ชัดเจน โดยศึกษาผลดีผลเสีย ของการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ก่อนออกกฎหมาย ให้มีการโต้เถียงกันในสภาร่างกฎหมาย ศึกษาข้อมูลทางวิชาการ เพื่อให้แน่ชัดว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายจริงหรือไม่ ถ้าเป็นอันตรายจริงก็ควรออกกฎหมายห้ามไปเลย แต่หากบุหรี่ไฟฟ้ามีประโยชน์ก็ควรเปิดโอกาสให้สามารถใช้ได้โดยอยู่ภายใต้ความควบคุม

แต่รัฐบาลขณะนั้นใช้วิธีง่ายๆในการแก้ไขปัญหาก็คือ ออกประกาศภายในของหน่วยงาน ซึ่งสามารถออกได้ง่ายๆโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไม่ต้องผ่านกระบวนการออกกฎหมายที่ยุ่งยาก ไม่ต้องมีการศึกษาค้นคว้าอะไรให้วุ่นวาย ไม่ต้องรับฟังเสียงของประชาชน รัฐมนตรีคนเดียวสามารถออกอากาศได้เลย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้นก็ได้ออก ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรีไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.2557

โดยตามประกาศดังกล่าว ได้วางหลักเกณฑ์ กำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยให้เหตุผลว่าอาจจะก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ สุขอนามัย สังคม และความมั่นคงของประเทศและความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน (แค่บุหรี่ไฟฟ้าเนี่ยนะ)

(โดยประกาศดังกล่าว กำหนดลักษณะของบุหรี่ไฟฟ้า หมายความว่า อุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่ทำให้เกิดละอองไอน้ำในลักษณะคล้ายควันบุหรี่ไม่ว่าจะทำขึ้นด้วยวัตถุใดซึ่งใช้สำหรับสูบในลักษณะเดียวกับการสูบบุหรี่ตามพิกัดอัตราศุลกากร)

และในส่วนน้ำยาสำหรับสูบบุหรี่ไฟฟ้านั้น ก็ถือเป็นสินค้าต้องห้ามเช่นเดียวกัน โดยกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ว่า สารหรือสารสกัดหรือสิ่งอื่นใด ที่ใช้เป็นแหล่งกำเนิดควันหรือละอองน้ำเพื่อการสูบบารากุหรือบารากุไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งนำเข้ามาพร้อมสินค้าตามวรรคหนึ่งเพื่อใช้ร่วมกันเป็นสินค้าห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักรด้วย

ดังนั้นแล้ว ตามกฎหมายแล้วจึงถือว่าบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาสำหรับสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร ตามกฎหมาย

ถึงแม้ พ.ร.บ. ศุลกากร จะเป็นกฎหมายที่ใช้มีเจตนาบังคับผู้นำเข้าสินค้าเข้ามาในประเทศ แต่ตามมาตรา 246 ก็ได้วางหลักว่า ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจําหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจํานําหรือรับไว้ โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา ๒๔๒ ต้องระ วางโทษจําคุก ไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วหรือทั้งจําทั้งปรับ

ดังนั้นแล้วเมื่อ บุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าที่นำเข้า มาจากประเทศเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้า ผู้ที่ซื้อบุหรี่ไฟฟ้า หรือรับไว้โดยประการใด เช่นมีคนนำมาให้สูบฟรีๆ ก็ถือว่ามีความผิดตามมาตรา 246 จะอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นสินค้าต้องห้ามก็ไม่ได้ 

เพราะบุคคลไม่สามารถอ้างได้ว่าไม่รู้กฎหมาย หรือจะอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นสินค้านำเข้าก็อ้างยาก เพราะบุหรี่ไฟฟ้าในแต่ละรุ่น หาข้อมูลไม่ยากว่าเป็นบุหรี่ไฟฟ้าแบบผลิตในต่างประเทศ หรืิอผลิตในไทย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าบุหรี่ไฟฟ้าเกินกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปที่ขายในประเทศไทย เป็นบุหรี่ไฟฟ้าที่ผลิตในต่างประเทศและนำเข้ามาในประเทศ ดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่า บุหรี่ไฟฟ้าที่ขายกันอยู่ในประเทศไทย เป็นสินค้านำเข้ามาจากต่างประเทซ ดังนั้นเมื่อถูกจับจะมาอ้างยืนกรานกระต่ายขาเดียวว่าไม่รู้ว่าเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศจึงฟังไม่ขึ้น

ดังนั้นแล้วหาบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ผู้ที่มีไว้เพื่อเสพเองก็มีความผิดตามมาตรา 246 ประกอบมาตรา 242 อย่างแน่นอน ที่ผ่านมาศาลในประเทศไทยก็มีคำพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิดไปแล้วหลายคดี โดยผู้เขียนสามารถรวบรวมมาเพียงแค่บางส่วน ได้ตามนี้

ดังนั้นแล้วจะเห็นได้ว่าศาลได้มีบรรทัดฐานคำพิพากษาลงโทษผู้ครอบครองบุหรี่ไำฟฟ้ามาเป็นจำนวนหลาย หลักกฎหมายเองก็ชัดเจนว่าผู้ครอบครองมีความผิด ดังนั้นทนายความคนไหน ที่บอกกับประขาชนว่าผู้มีไว้เพื่อสูบไม่ผิด โดยแนะนำให้ประชาชนอ้างกับกับตำรวจว่า ไม่รู้ว่าเป็นสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ ถ้าตำรวจจับให้ฟ้องตำรวจกลับ เหล่านี้เป็นคำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง และเป็นการแนะนำให้ประชาชนบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งไม่ใช่วิสัยที่ทนายความควรกระทำ

ซึ่งการสืบพยานในชั้นศาลนั้น ฝ่ายโจทก์สามารถสืบได้ไม่ยากว่าบุหรี่ไฟฟ้ารุ่นไหน เป็นบุหรี่ไฟฟ้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ และข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปในประเทศไทยว่าบุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่แล้วเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ และสินค้าของกลางในคดีนั้นๆก็เป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เมื่อโจทก์สามารถนำสืบได้อย่างชัดเจนว่าเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ การที่จะอ้างว่าตนเองไม่รู้ว่าเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ จึงเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น

บุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าที่ผลิตในไทย ผู้ครอบครองไว้เพื่อสูบเองผิดไหม

อย่างที่บอกไว้ในข้อ 1 เนื่องด้วยการออกกฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ทำตามขั้นตอน ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการตรากฎหมาย ไม่มีการถกเถียงในเชิงวิชาการ ไม่ได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นข้อกฎหมายดังกล่าวจึงยังมีช่องว่างอยู่ เพราะสำหรับผู้ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าไว้เพื่อสูบเองจะมีความผิดตามพรบศุลกากรมาตรา 242 ประกอบมาตรา 246 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ บุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้านั้นเป็นน้ำยาที่นำเข้าจากต่างประเทศเท่านั้น

แต่ปัจจุบันนี้บุหรี่ไฟฟ้าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย จึงทำให้มีผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยจำนวนไม่น้อย และกำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ผู้ผลิตในไทยบางเจ้ามีคุณภาพถึงกับส่งออกในต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ “พันธ์ไทย” “Craftsman” “บางสวรรค์” หรือบุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ “dooze” ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าเหล่านี้ ล้วนแต่ผลิตในประเทศไทยไม่ได้เป็นสินค้าที่นำเข้ามาในต่างประเทศ ดังนั้นแล้วผู้ครอบครองจึงไม่มีความผิด ฐานซื้อ หรือ รับไว้ซึ่ง ของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการ ศุลกากร ตามพระราชบัญญัติศุลกากรมาตรา 242 และมาตรา 246 แต่อย่างใด

อีกทั้งยังไม่มีกฎหมายอื่นเข้ามาควบคุมเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าหรือน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศไทย ดังนั้นผู้ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าที่ผลิตในไทยและน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าที่ผลิตในไทยจึงไม่มีความผิดตามกฎหมายแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้ว่าในคดีต่างๆที่ศาลได้มีคำพิพากษาเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้านั้น จำเลยจะถูกฟ้องเพียงข้อหาเดียวเท่านั้นคือความผิดฐานเป็นผู้รับหรือซื้อสิ่งของซึ่งไม่ได้ผ่านพิธีการศุลกากร ไม่มีความผิดในข้อหาอื่น

ดังนั้นจึงกล่าวโดยสรุปได้ว่า

การครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า หรือน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าที่ผลิตและนำเข้าจากต่างประเทศ ผู้ครอบครองแม้มีไว้ในครอบครองเพื่อสูบเองก็ย่อมมีความผิด จะไปอ้างว่าไม่รู้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้า ก็อ้างไม่ได้ ส่วนการจะอ้างว่าไม่รุ้ว่าสินค้าของตนเองนั้น เป็นสินค้าที่นำเข้ามาจาก ต่างประเทศก็อ้างยากมาก ขอบุหรี่ไฟฟ้าในแต่ละประเภททุกวันนี้สามารถสืบหาได้โดยง่ายว่าเป็นสินค้าที่ผลิตในไทยหรือผลิตในต่างประเทศ

และประชาชนส่วนใหญ่ต่างก็รู้ว่าเกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้นเป็นบุหรี่ไฟฟ้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป การที่จะอ้างยืนยันกระต่ายขาเดียวว่าไม่รู้ว่าเป็นสินค้านำเข้าเป็นไปได้ยาก

รับคำปรึกษากฎหมายติดต่อด่วนตลอด 24 ชั่วโมง

ทนายความประจำสนง.